แนวทางการรักษาตาแห้ง
ตาแห้ง (ตอนที่ 4)
แนวทางการรักษาตาแห้ง ได้แก่
- ปรับสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ที่เป่าผมไม่ให้ใกล้ตา หลีกเลี่ยงการใช้พัดลม หรือ อยู่ในห้องแอร์นานๆ หากจำเป็นต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเครื่องคอมฯ ตลอดจนการใช้แว่นตาที่เหมาะสม
- รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เปลือกตา/หนังตาอักเสบ ทำให้มีการทำลายต่อม Meibomian ซึ่งหากมีภาวะหนังตาอักเสบ ควรรักษาความสะอาดขอบตา ลดการใช้ยาต่างๆที่ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยลง ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เป็นต้น
- การชดเชยน้ำตา ด้วย
- 3.1 ใช้น้ำตาเทียม ซึ่งอาจเป็นรูปของน้ำใส เป็นเจล หรือ ขี้ผึ้ง แบบน้ำใสใช้ง่าย ไม่ทำให้ตามัว แต่ต้องหยอดบ่อย เพราะยาหมดอย่างรวดเร็ว แบบเจล หรือ ขี้ผึ้งอยู่ในตาได้นานกว่า แต่อาจเหนียวเหนอะหนะ ทำให้ตามัวลงมักนิยมใช้ก่อนนอน
น้ำตาเทียมชนิดใส มี 2 แบบ คือ ชนิดมีสารกันเสีย มักบรรจุในรูปแบบเป็นขวด สามารถใช้ได้นานถึงประมาณ 1 เดือน, และชนิดรูปแบบที่เป็นกะเปาะ ไม่มีสารกันเสีย จึงใช้ได้ไม่เกิน 24 ชม. มักทำในรูปกะเปาะพลาสติคเล็กๆ มีน้ำตาเทียมอยู่ 4 – 8 หยด, ในกรณีตาแห้งมากต้องใช้น้ำตาเทียมบ่อยเกินวันละ 4 ครั้ง ควรใช้แบบไม่มีสารกันเสีย หากใช้แบบมีสารกันเสียวันละหลายๆหยด ตัวสารกันเสียอาจทำอันตรายต่อผิวกระจกตาได้
- 3.2 ใช้ยาที่เป็นสารน้ำเหลืองจากเลือด (Serum) ของตัวเราเอง เรียกว่า Autologus serum ใบปัจจุบันพบว่าการใช้น้ำเหลืองจากเลือดของเราเอง อาจช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของลูกตา และต่อมน้ำตา เพราะมีสารต่อต้านเชื้อโรค ตลอดจนสารเร่งการฟื้นตัวกลับคืนสู่ปกติของเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
- 3.3 ใช้เครื่องช่วยที่เรียกว่า Moist chamber เป็นวัสดุคล้ายแว่นตาเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลูกตา (ไม่เป็นที่นิยม และยังไม่มีจำหน่ายในบ้านเรา)
- 3.4 ยากระตุ้นการสร้างน้ำตาในรูปยาหยอดที่มีใช้ในบ้านเรา ได้แก่ยาหยอด Diquafosol เป็นยาจากประเทศญี่ปุ่น ไปกระตุ้น non goblet cell epithelium ให้สร้างน้ำตา mucin ออกมาขึ้น แต่ต้องใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอย่างน้อยหนึ่งเดือน ยังมียาประเภทใช้รับประทาน เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำตามากขึ้น ได้แก่ยาในกลุ่ม cholinergic agonist เช่น pilocarpine ไปกระตุ้นต่อมน้ำตาให้สร้างน้ำตามากขึ้น เพิ่มจำนวน goblet cell แต่มีผลข้างเคียง เช่น มีเหงื่อออกมาก จึงไม่ค่อยนิยมใช้กัน
- ภาวะตาแห้ง ขาดความสมดุลของผิวตา มักจะก่อให้เกิดการอักเสบแบบไม่ติดเชื้อได้ จึงอาจต้องให้ยาหยอดตาในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อได้ ซึ่งต้องใช้อย่างระมัดระวัง ภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์
- ปัจจุบันมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (Immunosuppressant) บางชนิด เช่น ยา Cyclosporine ซึ่งทำให้ลดจำนวน T lymphocytes ลดปฏิกิริยาการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อในเยื่อบุตาและต่อมน้ำตา ทำให้มีน้ำตามากขึ้น มีสำเร็จรูปจากบริษัทยาในรูป emulsion ราคาค่อนข้างแพง ตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ อาจจะปรุงกันเอง ยามักจะแสบ
- อาหารที่มี โอเมกา 3 (Omega 3 fatty acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยลดการอักเสบ ในบางคนอาจช่วยให้ภาวะตาแห้งดีขึ้นได้
- การพยายามลดการระเหยของน้ำตาด้วยวิธีผ่าตัด หรือ ปรับกายวิภาคของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของตา เช่น
- 7.1 การทำ Punctual plug เป็นการอุดบริเวณช่องทางที่ไหลออกของน้ำตา (Punctum) ลงสู่โพรงจมูก (อ่านเพิ่มเติมในบทความ กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา หัวข้อ กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบน้ำตา) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราว และชนิดอุดถาวร
- 7.2 Punctal cautery ใช้จี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา ซึ่งเป็นการอุดบริเวณไหลออกของน้ำตาแบบถาวรไปเลย
- 7.3 ปัจจุบันมีการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษที่เรียก Scleral lens ซึ่งมีความโค้งที่แตกต่างจากคอนแทคเลนส์ธรรมดา ทำให้อุ้มน้ำตาอยู่ได้มากขึ้น
- 7.4 การเย็บเปลือกตา/หนังตา บน – ล่าง เข้าหากันบางส่วน (Tarsorrhaphy) ในผู้ป่วยบางรายที่มีความผิดปกติของเปลือกตา/หนังตา
บทความโดย
ศ.พญ. สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
จักษุแพทย์ รพ. ตา หู คอ จมูก