Call Center

การตรวจต้อหิน

แล้วมีการตรวจอะไรบ้างล่ะ ในรายการตรวจคัดกรองต้อหิน

  1. วัดระดับสายตาว่ามีการมองเห็นเท่าคนปกติหรือไม่ ในระยะหลังๆ ของโรคมีการสูญเสียสายตาร่วมด้วย ตามด้วยตาบอดในที่สุด
  2. วัดความดันตาด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า pneumotonometer ที่ไม่ต้องสัมผัสดวงตาไม่มีการเจ็บปวด หากมีค่าสูงเกิน 20 มม.ปรอท อยู่ในข่ายสงสัยเป็นต้อหิน ในบางรายหากค่าที่ได้จาก pneumotonometer ไม่แน่นอน อาจต้องวัดด้วย applanation tonometer ต่อ
  3. วัดว่ามีสายตาสั้น เอียง ยาว อยู่หรือไม่ด้วยเครื่อง computer บางท่านอาจมีสายตาสั้นมาก ซึ่งมักจะพบต้อหินได้บ่อย
  4. ตรวจขั้วประสาท (optic disc) ด้วย Ophthalmoscope ดูขนาดหลุม (cupping) กลางขั้วประสาท ค่าปกติไม่ควรเกิน 0.5 ของขนาดขั้วประสาทตา หลุมที่กว้างแสดงถึงการสูญเสียใยประสาทตาที่มาก ซึ่งอาจมีการถ่ายขนาดของหลุมนี้ไว้ด้วย (fundus photography)
  5. ตรวจด้วย slit lamp ดูส่วนหน้าของตา อาจมีอาการแสดงบางอย่างที่บ่งบอกว่าน่าจะมีต้อหิน เช่น exfoliation, krukenberg spindle, iris hypo hyperpigment เป็นต้น
  6. ตรวจดูมุมตา (gonioscopy) เพื่อแยกชนิดของต้อหินว่าเป็นมุมแคบ มุมปิด หรือมุมเปิด
  7. ตรวจลานสายตา เนื่องจากต้อหินเรื้อรังมักทำลายลานสายตาด้านข้าง (sidevision) ก่อนเสมอ ปัจจุบันใช้เครื่องชนิด computerized perimeter ซึ่งตรวจได้ละเอียดเป็นมาตรฐาน ตรวจซ้ำจุดเดิมเพื่อดูความน่าเชื่อถือ
  8. วัดความหนาของกระจกตา (corneal pachymetry) เพื่อความแม่นยำของระดับความดันตาที่วัดได้ กล่าวคือถ้ากระจกตาหนา มักจะวัดความดันตามากกว่าจริง โดยประมาณว่าถ้าหนากว่า 525 ไมครอน จะพบความดันตามักจะวัดได้สูงกว่าจริง 1-3 มม.ปรอทต่อ 40 ไมครอนที่หนามากกว่า 525
  9. ล่าสุด ตรวจ OCT (Optical coherence tomography) โดยเครื่องจะยิงแสงใกล้ infrared เข้าไปภายในตา จะได้ภาพออกมาเป็น 3 มิติของขนาดขั้วประสาทตา บอกถึงจำนวนเส้นประสาท (retinal nerve fibre = RNF) ที่เหลือ ถ้าเหลือน้อยแสดงว่ามีการสูญเสีย RNF มาก ซึ่งเท่ากับสูญเสียลานสายตากว้างมากนั่นเอง

ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ต้องตรวจให้ครบตามข้างต้นก็วินิจฉัยได้แล้ว การตรวจหลายๆ อย่างจะช่วยยืนยันผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องมากขึ้น อีกทั้งใช้ติดตามผลการรักษาต่อไป

บทความโดย
ศ.พญ. สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
จักษุแพทย์ รพ. ตา หู คอ จมูก