Retinitis Pigmentosa (โรค RP)
เป็นโรคที่มีเรียกกันหลายชื่อ ได้แก่ Retinal degeneration, rod-cone dystrophy, tapetoretinal degeneration แต่มักเรียกกันว่าโรค RP ชื่อโรคอาจเข้าใจผิดว่ามีการอักเสบของ retina (มีคำว่า itis ตามหลัง retina) ความจริงเป็นความผิดปกติของจอตาที่เป็นกรรมพันธุ์โดยไม่มีการอักเสบ โดยเริ่มจากมึความผิดปกติไปทางเสื่อมของจอตาส่วนขอบ (peripheral retina) จึงทำให้ผู้ป่วยมาด้วยภาวะตามัวกลางคืน (night blindness) เพราะจอตาส่วนขอบมีเซลล์ rod ซึ่งช่วยการมองเห็นในที่สลัวหรือกลางคืน เป็นโรคที่ไม่มีวิธีรักษาเฉพาะเจาะจง จึงมักพบในเด็กโรงเรียนตาบอด
ตั้งแต่ปี 1982 มีการสัมมนา และให้ข้อช่วยการวินิจฉัยโรคนี้ว่า โรคนี้มีลักษณะ
- เป็น 2 ข้าง
- เริ่มจากมีการสูญเสียสายตาด้านข้าง
- เริ่มด้วยมีการทำงานของ rod photoreceptor เสียก่อน (ตรวจได้ด้วย ERG)
- มีการสูญเสีย photoreceptor cell ไปเรื่อย ๆ
- อาจพบความผิดปกติที่ตาอย่างเดียว หรือมีความผิดปกติส่วนอื่นของร่างกาย เป็น syndrome ต่าง ๆ
อาการ
- ตามัวยามค่ำ
- มักจะเห็นแสงวาบเข้าตา (photopsia)
- ตามัวขอบ ๆ ตรงกลางมักจะยังพอเห็น (การทดสอบการมองเห็นโดยการอ่าน chart ในระยะแรกของโรคอาจจะยังปกติ)
- นานเข้าผู้ป่วยจะเห็นแคบ ๆ ลงจนในที่สุดบริเวณตรงกลางก็ค่อย ๆ มัวลง
การวินิจฉัย
- ประวัติตามัวกลางคืน มีโรคนี้ในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ โดยไม่มีตาแดงหรือเจ็บตา
-
ตรวจพบลักษณะเฉพาะที่บริเวณจอตาอันได้แก่
- ขั้วประสาทตาสีซีด
- หลอดเลือดแดงจอตาตีบลง
- มีรอยโรคที่จอตาสีดำ ๆ เป็นหย่อม ๆ (bone spicule)
- การตรวจพิเศษที่ช่วยวินิจฉัย คือการตรวจ ERG (electroretinogram)
- ลานสายตาแคบ
- การถ่ายทอดกรรมพันธุ์มีทั้ง autosomal dominant, recessive, sex link และ simplex
การรักษา
- Fat soluble วิตามิน (ได้แก่ A,C,E)
- Calcium channel blocker
- Carbonic anhydrase enhibitor
ยังไม่มีวิธีรักษาที่เฉพาะเจาะจง ที่มีให้กันได้แก่
ทุกตัวยังไม่มีตัวไหนที่ได้ผลดีพอ
ข้อระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรค RP หรือเป็นยาที่อาจทำให้โรคเลวลง ได้แก่
- isotretinoin (accutane)
- sildenafil (Viagra)
- high dose vitamin E
บทความโดย
ศ.พญ. สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
จักษุแพทย์ รพ. ตา หู คอ จมูก